จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ กล่าวว่า ข้อความดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ปลูกต้นไม้ ซึ่งการปลูกป่าไม้ในบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและบริเวณขั้วโลกนั้นมีผลทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น แต่การปลูกต้นไม้ในเขตป่าร้อนชื้นนั้นจะสามารถชะลอการเกิดภาวะโลกร้อนได้
ทีมนักวิจัยจาก Lawrence Livermore National Laboratory ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของสภาวะของโลกและวัฏจักรของคาร์บอนจากการตัดไม้ทำลายป่าเป็นบริเวณกว้างจากแบบจำลองสามมิติในการศึกษาช่วงแรก พบว่าบริเวณที่เป็นป่ามีผลต่อการเพิ่มอุณหภูมิสะสมของโลก
ป่าไม้มีผลกระทบต่อสภาวะของโลกใน 3 ทาง คือ อย่างแรก การดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ อย่างที่สอง การปล่อยไอน้ำสู่บรรยากาศและการเพิ่มความชื้น และอย่างสุดท้าย คือ การปกคลุมพื้นดินจากแสงแดด ซึ่งก็เป็นการช่วยลดความร้อนของโลกได้เช่นกัน แต่ผลกระทบอย่างแรกเท่านั้นที่นับว่าเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนที่ได้มาจากการปลูกป่าปลูกต้นไม้
ผลการศึกษาชี้ว่า ป่าในเขตร้อนชื้นนั้นมีประโยชน์ต่อสาภวะโลกร้อนนี้มาก เนื่องมาจากการดูดซึมคาร์บอนจากบรรยากาศและเพิ่มปริมาณเมฆ หรือความชื้น ซึ่งช่วยในการลดอุณหภูมิของโลกได้เป็นอย่างดี
แต่ในทางตรงกันข้าม ผลการทำนายในปีค.ศ. 2100 เขตป่าไม้ในบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรและบริเวณขั้วโลกจะทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 10 องศาฟาเรนไฮต์ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีป่าไม้บริเวณนี้ ทีมนักวิจัยได้ให้เหตุผลว่าการปกคลุมพื้นดินของป่าไม้ในบริเวณขั้วโลกมีผลต่อการดูดซับแสงแดดจากท้องฟ้าได้มากขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มอุณหภูมิของผิวโลก และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้เร็วขึ้นนั่นเอง
จากผลการศึกษาดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์ รักษาป่าไม้ ทั่วโลกอาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการชะลอการเกิดสภาวะโลกร้อน แต่วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือและหลีกเลี่ยงกับสภาวะนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการด้านพลังงาน จากพลังงานถ่านหินและเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆจากการเผาไหม้ มาเป็นพลังงานทดแทนหรือพลังงานประเภทใหม่ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ อย่างเช่น ป่าไม้ ให้คงอยู่เพื่อสร้างความสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมบนโลกนี้
ข้อมูลเพิ่มเติม: Lawrence Livermore National Laboratory

ความคิดเห็นที่ 79 ว่านค้า (Guest)
ความคิดเห็นที่ 81 นิษา (Guest)
ความคิดเห็นที่ 82 preeyakorn_pik@hotmail.com (Guest)
ความคิดเห็นที่ 85 มิ้ม (Guest)
<P>เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น หนูละก็เสียใจที่ทุกคนทำตัวแบบนี้ไม่เห็นแก่สังคมบ้างเลย</P>
<P>เพราะฉะนั้นเราทุกคนจะต้องช่วยกันไม่ให้ใครทิ้งขยะไม่ตัดไม้ทำลายป่า</P>
<P>เพราะพวกเราไม่รู้ว่าโลกเราจะอวสานเมื่อไร</P>
<P> </P>
<P> </P>
ความคิดเห็นที่ 87 บง (Guest)
อืม! เราอยู่สบายๆบนความลำบากของ เด็กในอนาคตหรือเปล่า?
สบายน้อยอีกนิดได้ไหมพวกเรา
ลดการใช้น้ำมัน
อยู่อย่าเพียงพอ เน้อ
ความคิดเห็นที่ 89 083-4338045 (Guest)
ความคิดเห็นที่ 103 น้องบิวตี้ (Guest)
ความคิดเห็นที่ 162 non-non-@hotmail.com (Guest)
ความคิดเห็นที่ 171 bleach362@hotmail.com (Guest)
ช่วยกันปลูกป่าลดโลกร้อนด้วยนะครับ ถือว่าผมขอร้อง อีกไม่กี่10ปีน้ำก้จะล้วมโลกแล้วถ้าเรายังละเลยการปูกป่า
ความคิดเห็นที่ 187 ธารทิพย์ ดาราช (Guest)
อยากปลูกต้นไม้และจะทำให้โลกสดใสขึ้นทันตาเห็นเลยค่ะ
ความคิดเห็นที่ 203 poooonj (Guest)
1. ต้องยอมรับก่อนว่า สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนมิได้มาจากประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก แต่เราทุกคนบนพื้นผิวโลก รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การขนส่ง การบริโภค การสร้างที่พักอาศัย การซื้อของ ล้วนมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
2. ประหยัดการใช้พลังงานทุกชนิด โดยเฉพาะไฟฟ้า เพราะเชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้า คือ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ล้วนแต่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อภาวะเรือนกระจกทั้งสิ้น เลือกอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า เช่นเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดพลังงาน
เพราะหลอดไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเปลี่ยนพลังงานเพียงร้อยละ�10 เท่านั้นให้เป็นแสงสว่าง
ส่วนพลังงานอีกร้อยละ�90 สูญเสียไปในรูปของความร้อน และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน
3. หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเป็นการประหยัดการใช้น้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการโดยสารเครื่องบิน ดังที่รายงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศแนะนำว่า ควรใช้บริการรถไฟสำหรับการเดินทางในระยะทางไม่เกิน�640 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเที่ยวบินลงได้ถึงร้อยละ�45 และบรรดานักธุรกิจควรใช้ระบบการประชุมผ่านวิดีโอแทนการให้พนักงานขึ้นเครื่องบินไปร่วมการประชุม
4. คิดก่อนจะซื้อสิ่งของ เพราะการผลิตและการขนส่งสินค้าเกือบทุกชนิดล้วนแต่ใช้พลังงานทั้งสิ้น ก่อนจะซื้ออะไรลองถามตัวเองว่า สิ่งนั้นจำเป็นเพียงใด หรือลองเปลี่ยนจากการซื้อของใหม่เป็นการซ่อมหรือใช้ของมือสองแทน
5. ลดการกินทิ้งกินขว้าง เพราะเศษอาหาร และของที่บูดเน่า เมื่อไปทับถมอยู่ที่กองขยะ
จะกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง
6. บริโภคของที่ผลิตในประเทศ เพราะการซื้อสินค้าจากต่างประเทศย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการขนส่ง การกินอาหารท้องถิ่น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เช่นหันมากินปลาทูแทนปลาแซลมอน เพราะนอกจากราคาถูก และทำให้เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
7. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยระหว่างการเดินทาง ขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตมหาศาล แถมยังทำให้เกิดขยะล้นโลก และในการกำจัดขยะก็ต้องใช้พลังงานอีกต่างหาก
8. หลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะการผลิตถุงพลาสติกใช้พลังงานอย่างมหาศาล
ถ้าให้ดีนำถุงผ้าจากบ้านติดตัวไปด้วยเวลาซื้อของตามร้านค้า หากไม่จำเป็นควรบอกพนักงานขายว่าไม่เอาถุงพลาสติก เพราะเมื่อนำกลับบ้านแล้วคนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะ ในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถึงปีละ�1 แสนล้านใบ
9. ประหยัดการใช้กระดาษ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ ใช้พลังงานมากเป็นอันดับ�4 ทั้งยังก่อมลพิษทางน้ำ เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ ซึ่งเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญด้วย
10. สนับสนุนการซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ที่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ที่มีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ผลิต ที่อยากมีส่วนในการปกป้องโลก และเลิกสนับสนุนสินค้า ของบริษัทที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
�
ความคิดเห็นที่ 204 ใบไผ่ (Guest)
ช่วยกันปลูกต้นไม้เยอะๆนะจ๊ะ
ความคิดเห็นที่ 207 พลอย (Guest)
ความคิดเห็นที่ 215 treeplan_l@hotmail.com (Guest)
อรุณ อัครวโรทัย gardencenter48@yahoo.com